ประวัติและพัฒนาการของวัด
วัดเกาะพญาเจ่ง หรือวัดเกาะบางพูดเดิมนั้น
เป็นวัดเก่าแก่ที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน แต่น่าเสียดายอย่างยิ่งว่าประวัติเดิมของวัดนับแต่เริ่มสร้างนั้น
สามารถค้นคว้าได้น้อยมาก อาจเป็นเพราะวัดนี้เป็นวัดเล็กๆ
อยู่ในชุมชนชาวมอญไม่กี่หลังคาเรือนรอบวัด ชาวมอญนั้นได้นำพุทธศาสนาในรูปแบบของมอญมาด้วย มีวัดมอญประจำหมู่บ้าน
และเนื่องจากเป็นผู้พลัดบ้านเมืองมาด้วยกัน จึงมีความรักใคร่เห็นใจกัน
มีการติดต่อพึ่งพาอาศัยในหมู่เดียวกัน
ความจำเป็นที่จะติดต่อกับคนนอกกลุ่มเกือบจะไม่มี 1
อีกทั้งอุปสรรคทางด้านภาษาที่ขัดขวางการติดต่อกับคนไทยทั่วไป
ทำให้การบูรณปฏิสังขรณ์อาจทำได้ไม่สะดวกเท่าที่ควร ข้อมูลต่าง ๆ
จึงไม่มีการรวบรวมไว้ แต่เมื่อความเจริญเริ่มเข้ามา วัดก็ได้มีการพัฒนาขึ้นตามลำดับ
จากหลักฐานเท่าที่มีอยู่สามารถลำดับการพัฒนาของวัดได้ดังต่อไปนี้.-
สมัยกรุงธนบุรี
พ.ศ. ๒๓๑๘ เริ่มสร้างวัดเกาะบางพูดโดยพระยาเจ่ง
ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
เจ้าพระยามหาโยธา นามเดิมว่า เจ่ง(แปลว่าช้าง) เป็นมอญนอก
เดิมทำราชการอยู่กับพม่า
ได้เป็นเจ้าเมืองเชียงแสนอยู่คราวหนึ่ง(มีเชื้อสายสืบกันมาอยู่ในเมืองนครลำปาง)
แล้วจึงย้ายไปอยู่เมืองเตริน (อังกฤษเรียกว่าอัตรัน)อันเป็นเมืองข้างตอนใต้
ครั้นเมื่อสมัยกรุงธนบุรี พวกมอญถูกพม่ากดขี่เหลือทนเกิดเป็นกบฏขึ้น
พระยาเจ่งเป็นหัวหน้าของพวกกบฏคนหนึ่งรวมกำลังยกขึ้นไปตีเมืองร่างกุ้ง
สู้พม่าไม่ได้ก็พากันอพยพครอบครัวเข้ามาพึ่งไทย
ในครั้งกรุงธนบุรีจะมีบรรดาศักดิ์อย่างใดไม่ทราบ ถึงรัชกาลที่ ๑
ทรงตั้งเป็นเจ้าพระยามหาโยธา จางวางกองมอญ ต่อมารบพุ่งพม่ามีความชอบ
โปรดให้เลื่อนเป็นเจ้าพระยามหาโยธานราธิบดีศรีพิชัยณรงค์
บุตรของท่านคือเจ้าพระยามหาโยธา(ทอเรียะ) ท่านเป็นต้นสกุล คชเสนี
2
| |
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ ๑
พ.ศ. ๒๓๓๐ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
รัชกาลที่ ๒-๔
เจ้าพระยามหาโยธา(ทอเรียะ) บุตรชายพระยาเจ่ง
ทำการสร้างวัดต่อจากบิดา ขณะนั้นเรียกกันว่าวัดเกาะรามัญ
เนื่องจากบริเวณนั้นเป็นชุมชนชาวมอญ และมีคลองบางพูดอยู่โดยรอบวัด
เจ้าพระยามหาโยธา นามเดิม ทอเรียะ เป็นบุตรเจ้าพระยามหาโยธา(เจ่ง)
ในรัชกาลที่ ๑ เกิดในเมืองมอญ อพยพเข้ามากับบิดาด้วยกัน
จะมาได้เป็นตำแหน่งมีบรรดาศักดิ์อย่างใดก่อนหาทราบไม่
ได้เป็นเจ้าพระยามหาโยธาแทนที่บิดา ในรัชกาลที่ ๒ ถึงรัชกาลที่ ๓ โปรดฯ
ให้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าพระยามหาโยธาและได้เป็นแม่ทัพยกพลไปช่วยอังกฤษตีเมืองพม่าครั้งแรกเมื่อ
พ.ศ. ๒๓๖๘ บุตรของท่านคือ พระยาดำรงราชพลขันธ์(จุ้ย) ซึ่งเป็นบิดาเจ้าจอมมารดากลิ่น
เจ้าจอมมารดาของกรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ รัชกาลที่ ๔ และพระยามหาโยธา(นกแก้ว)
พระยาเกียรติ์(ขุนทอง)เป็นต้น
เจ้าพระยามหาโยธา(ทอเรียะ คชเสนี) ถึงอสัญกรรมในสมัยรัชกาลที่ ๔
3
พ.ศ. ๒๓๖๕ - ๒๓๙๕ สมัยพระสุเมธาจารย์(เถ้า)
เป็นเจ้าอาวาส
ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าพระยามหาโยธา(ทอเรียะ
คชเสนี) มีศรัทธาสร้างวัดเกาะรามัญขึ้นที่ตำบลบางพูด
เมืองนนทบุรีแล้วถวายเป็นพระอารามหลวง จึงขอพระราชทานพระสุเมธาจารย์(เถ้า)
จากวัดปากอ่าว(วัดปรมัยยิกาวาส) ไปเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก
โดยมีพระปลัดและพระวินัยธรซึ่งเป็นพระฐานานุกรมตามไปอยู่ด้วยตามธรรมเนียม
พระสุเมธาจารย์เป็นเปรียญรามัญ พระราชาคณะชั้นสามัญ
และเป็นเจ้าสำนักเรียนชั้นสูงของเมืองนนทบุรีขณะนั้น ท่านถึงแก่มรณภาพราว พ.ศ. ๒๓๙๕
4
พ.ศ. ๒๓๙๕ สมัยพระครูอินทมุนี เป็นเจ้าอาวาส
วัดเกาะรามัญยังคงเป็นสำนักเรียนปริยัติธรรมรามัญ
สมัยรัชกาลที่ ๕ - ๘
พ.ศ. ๒๔๒๓
เกิดเหตุการณ์เรือพระที่นั่งสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์
อัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ล่มลง ณ ตำบลบางพูด
ซึ่งต่อมาได้ทรงโปรดให้สร้างอนุสาวรีย์ไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่วัดเกาะบางพูด
วันที่ ๔๒๒๐ วันจันทร์ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะโรง โทศก
จุลศักราช ๑๒๔๒(วันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๒๓)
เรือพระที่นั่งของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ได้เกิดอุบัติเหตุล่มลง ณ
ตำบลบางพูด สมเด็จพระนางเจ้า, เจ้าฟ้าในพระครรภ์, พระราชธิดา
สิ้นพระชนม์พร้อมพระพี่เลี้ยงแก้ว
การสิ้นพระชนม์ของพระปิยมเหสีและพระราชธิดาในครั้งนั้น
ยังความโทมนัสยิ่งมาสู่พระพุทธเจ้าหลวง
พระองค์จึงโปรดให้สร้างพระเจดีย์ขึ้นที่วัดเกาะบางพูด
ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปก่อด้วยปูน หันพระพักตร์ไปทางทิศทั้งสี่
เข้าใจว่าทรงสร้างอุทิศให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ, เจ้าฟ้าในพระครรภ์,
พระเจ้าลูกเธอและพระพี่เลี้ยงแก้ว
กล่าวกันว่าพระพุทธเจ้าหลวงได้โปรดให้ฝังเรือพระที่นั่งซึ่งล่มไว้นั้น
ไว้ใต้พระเจดีย์องค์นี้ด้วย ส่วนที่ข้างพระเจดีย์นั้น มีข้อความว่า
ลาภยศใดใดไม่พึงปราถน์
นางใดใครปราถน์พี่ไม่ข้อง
นางเดียวนางในหทัยปอง
นางน้องแนบในหทัยเรา
ตราบขุนคีรีขัน
ขาดสลาย แลแม่
รักบ่หายตราบหาย
หกฟ้า
สุริยจันทรขจาย
จากโลก ไปฤา
ไฟแล่นล้างสี่หล้า
ห่อนล้าง อาลัย 5
พ.ศ. ๒๔๓๒ - ๒๔๓๔ สมัยพระครูอมราธิบดี(วร)
เป็นเจ้าอาวาส
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานสมณศักดิ์ให้ พระวร
นนฺทิโย เป็นพระครูอมราธิบดี ไปอยู่วัดเมืองนนทรามัญ (วัดเกาะรามัญ)
ในตำแหน่งเจ้าคณะรอง เมืองนนทบุรีรวม ๓ พรรษา
แล้วจึงย้ายไปครองวัดบ่อและวัดปรมัยยิกาวาสตามลำดับ
ซึ่งต่อมาท่านคือพระราชาคณะชั้นธรรม ที่พระสุเมธาจารย์ บริหารธรรมขันธ์
รามัญสังฆนาธิบดี ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายรามัญ และเจ้าอาวาสวัดปรมัยยิกาวาส
6
พ.ศ. ๒๔๓๔ - ๒๔๙๐
ช่วงนี้วัดเกาะบางพูดมีเจ้าอาวาสองค์ต่อมาแต่ไม่ทราบประวัติ
จนมาถึงสมัยหลวงปู่พลัด, อาจารย์กรี, หลวงตาเหมือน,
หลวงตาเกียเป็นเจ้าอาวาสมาตามลำดับ วัดเกาะบางพูดยังคงเป็นวัดเล็ก ๆ
ในหมู่บ้านชาวมอญเช่นเดิม ในช่วงนี้ได้เปลี่ยนจากรามัญนิกาย
เข้าสังกัดมหานิกายตามพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ไทย พ.ศ. ๒๔๘๔
สมัยรัชกาลปัจจุบัน
พ.ศ. ๒๔๙๐ - ๒๕๒๒ สมัยพระอธิการสงวน เป็นเจ้าอาวาส
ท่านได้เริ่มการบูรณปฏิสังขรณ์กุฏิ ศาลาการเปรียญ
โดยได้รับวัสดุบางส่วนมาจากการที่กรมชลประทาน ปากเกร็ด
ได้ทำการยุบวัดหน้าโบสถ์ซึ่งตั้งอยู่ในกรมชลประทานให้ไปรวมเป็นวัดชลประทานปากเกร็ด
ราว พ.ศ. ๒๔๙๕ - ๒๔๙๙
วัดบางพูดได้ทำการก่อสร้างอาคารโรงเรียนประชาบาลหลังใหม่
จึงให้นักเรียนได้มาอาศัยเรียนที่ศาลาการเปรียญวัดเกาะบางพูดเป็นการชั่วคราว
พ.ศ. ๒๕๐๑ เริ่มทำการบูรณะพระอุโบสถ
โดยเปลี่ยนหลังคากระเบื้องที่ชำรุดเสียหายมากจนไม่สามารถกันน้ำฝนที่มาทำลายภาพจิตรกรรมฝาผนังได้
ในครั้งนั้นใช้สังกะสีเนื่องจากโครงหลังคาไม่แข็งแรงเท่าที่ควร
บริจาคโดยคุณเกษม-ลูกอินทร์ ต่างใจ เป็นเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท
พ.ศ. ๒๕๐๘ ทำการฉาบปูนภายนอกพระอุโบสถ
และทำลวดลายที่ซุ้มประตู หน้าต่าง โดยขอบริจาคซุ้มละ ๒,๕๐๐ บาท
มีผู้บริจาคครบ
ทุกซุ้ม
พ.ศ. ๒๕๐๘ - ๒๕๑๗ หลวงบริณัย,
ภรรยาและลูกหลานตระกูลคชเสนี ผู้สืบสกุลมาจากเจ้าพระยามหาโยธา(ทอเรียะ) หรือทองชื่น
คชเสนี ได้มาทำการบูรณปฏิสังขรณ์
และเห็นว่าเป็นวัดที่ต้นตระกูลคชเสนีเป็นผู้สร้างขึ้น จึงขอเปลี่ยนนามใหม่
ซึ่งทางการก็ได้ประกาศเปลี่ยนเป็น
วัดเกาะพญาเจ่ง ตามนามผู้สร้าง เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๗
พ.ศ. ๒๕๑๐ ทำการเทปูนในพระอุโบสถทำเป็นพื้นหินขัด
ซึ่งเดิมเป็นพื้นปูน โดยนายสง่า แป้นเพชร เป็นเงิน ๒๘,๐๐๐ บาท
พ.ศ. ๒๕๑๕ ทำลวดลายที่ชั้นประตู หน้าต่าง
เป็นรูปลอยตัวลายดอกไม้ โดยคุณเกษม-ลูกอินทร์ ต่างใจ
พ.ศ. ๒๕๑๙ เปลี่ยนหลังคาพระอุโบสถเดิม
จากสังกะสีเป็นกระเบื้องพร้อมโครงหลังคา โดยมีคณะกรรมการได้แก่
คุณดิเรก ถึงฝั่ง(รองผู้ว่าราชการ จ.นนทบุรี,
ตำแหน่งในขณะนั้น)
คุณนิพนธ์ บุญภัทโร(นายอำเภอปากเกร็ด,
ตำแหน่งในขณะนั้น)
คุณสงบ แป้นเพชร ไวยาวัจกร, คุณลมูล ชูศรี
ผู้ร่วมดำเนินการ
คุณบุญเรียบ อินทิแสง, คุณทวีศักดิ์ เปรื่องการ
กรมชลประทาน
บริจาคโดยคุณสุรพล-สรญา ชวาลดิษฐ์ เป็นเงิน ๒๓๐,๐๐๐
บาท
พ.ศ. ๒๕๒๒ - ๒๕๔๘ สมัยพระอธิการสำเริง
เป็นเจ้าอาวาส
ท่านได้ทำการถมดินที่เพิ่มขึ้นเองจากการตื้นเขินของดินบริเวณโค้งชายแม่น้ำ
ขยายออกไปอีก ๒ ไร่เศษ เป็นเงิน ๒๗๐,๐๐๐ บาท
พ.ศ. ๒๕๒๖
บูรณปฏิสังขรณ์พระราชอนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเรือล่ม และจัดทำสวนหย่อมโดยรอบ
โดยคุณสุรพล-สรญา ชวาลดิษฐ์ เป็นเงิน ๙๐๐,๐๐๐ บาท
พ.ศ. ๒๕๒๖ - ๒๕๒๗ บูรณปฏิสังขรณ์หอสวดมนต์-กุฏิพระสงฆ์
ร่วมบริจาคโดยคุณสุรพล-สรญา ชวาลดิษฐ์ เป็นเงิน ๗๒๐,๐๐๐ บาท
พ.ศ. ๒๕๓๐
ทำการสร้างศาลาเรือนไทยริมน้ำที่บริเวณพระราชอนุสาวรีย์
เพื่อถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ โดยคุณ
สุรพล-สรญา ชวาลดิษฐ์ เป็นเงิน ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท
พ.ศ. ๒๕๓๑ - ๒๕๓๒ กรมศิลปากร
ทำการซ่อมแซมภาพจิตรกรรมฝาผนังและตัดความชื้นภายในพระอุโบสถ
ด้วยการเจาะฝาผนัง
ฝังแผ่นโลหะไร้สนิมไว้ภายใน เพื่อป้องกันมิให้ความชื้นซึมผ่านขึ้นมาได้
พ.ศ. ๒๕๓๒ สร้างกำแพงแก้ว, ประตูรอบพระอุโบสถ
โดยคุณสุรพล-สรญา ชวาลดิษฐ์ เป็นเงินทั้งสิ้น ๖๕๒,๕๔๔.๕๐
บาท
พ.ศ. ๒๕๓๓ บูรณปฏิสังขรณ์กุฏิพระสงฆ์,
สร้างห้องน้ำพระสงฆ์, ห้องน้ำสาธารณะ, ทางเดินและศาลาริมน้ำ
พ.ศ. ๒๕๓๔ - สร้างหอระฆังใหม่
โดยคุณชวลิต-มุกดา เอื้อชูยศ, พ.อ.อ.สินชัย ต่างใจ, คุณอดุลย์ โพธิ์อ่อน, คุณม่วย
ศรีดี, คุณวีระศักดิ์ สวัสดี, ร.ต.นิยม ใจซื่อ, บริษัทสักทองไทย
และเงินบริจาครวมทั้งสิ้น ๔๕๐,๐๐๐ บาท
- สร้างกุฏิเจ้าอาวาสใหม่ โดยคุณป้าถม เพิ่มเทศ,
คุณสุรพล-สรญา ชวาลดิษฐ์ เป็นเงิน ๖๕๐,๐๐๐ บาท
พ.ศ. ๒๕๓๘ - ๒๕๔๑ ซ่อมแซม
ต่อเติมศาลาการเปรียญ, สร้างศาลาอเนกประสงค์, สร้างห้องน้ำสาธารณะ,
ถมพื้นที่ชายฝั่งแม่น้ำและทำเขื่อนกั้นดิน, ซ่อมแซมเสาหงส์และตัวพญาหงส์
โดยหลวงตาวงและเงินบริจาครวมทั้งสิ้น ๑,๙๐๐,๐๐๐ บาท
พ.ศ. ๒๕๔๑ กรมศิลปากร
ประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน ตามราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๕ ตอนพิเศษ
๓ ง
ลงวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๔๑
พ.ศ. ๒๕๔๒ ปิดทององค์พระประธาน,
พระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตร, บูรณะฐานชุกชีในพระอุโบสถ,
ซ่อมแซมซุ้มประตูทางเข้าวัด พร้อมทั้งร่วมปลูกต้นไม้บริเวณเขื่อนริมแม่น้ำ
โดยคุณสุรพล-สรญา ชวาลดิษฐ์, กฐิน-ผ้าป่าสามัคคีและเงินบริจาครวมทั้งสิ้น ๓๘๖,๗๘๕
บาท
|
ประวัติวัด
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น