เที่ยวโบสถ์ ดูจิตรกรรมฝาผนัง.. วัดเกาะพญาเจ่ง
วัดเกาะพญาเจ่ง หรือวัดเกาะรามัญ หรือวัดเกาะบางพูด
สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ๒๓๑๘ โดยพญาเจ่ง
อดีตแม่ทัพมอญผู้พาไพร่พลเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารกษัตริย์ไทย ณ
ที่ดินซึ่งได้รับพระราชทานโปรดเกล้าจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเมื่อปี ๒๓๑๗
ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๐ (รัชกาลที่ ๑)
พญาเจ่ง ได้ช่วยไทยรบพม่ามีความดีความชอบมาก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงทรงพระราชทานยศให้เป็นเจ้าพระยามหาโยธานราธิบดีศรีพิชัยณรงค์ ต่อมาบุตรชายคนโต(ทอเรียะ) ก็ได้รับพระราชทานยศให้เป็นเจ้าพระยามหาโยธาเช่นกัน ท่านได้สร้างวัดนี้ต่อจากบิดา และถึงแก่อสัญกรรมในสมัยรัชกาลที่ ๔ ท่านเป็นต้นสกุล “คชเสนี”
พระอุโบสถวัดเกาะพญาเจ่งเป็นเขตโบราณสถาน กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๑ ภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เรื่องทศชาติชาดก

ด้านหลัง หรือผนังหุ้มกลองด้านหลังพระประธาน เป็นภาพไตรภูมิมีรูปเขาพระสุเมรุที่ประทับของพระอินทร์อยู่ตรงกลาง ด้านล่างเป็นแม่น้ำสีทันดรอันมีปลาใหญ่อาศัยอยู่บนยอดพระสุเมรุ เป็นภาพพระพุทธองค์แสดงธรรมโปรดเหล่าเทวดา
พญาเจ่ง ได้ช่วยไทยรบพม่ามีความดีความชอบมาก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงทรงพระราชทานยศให้เป็นเจ้าพระยามหาโยธานราธิบดีศรีพิชัยณรงค์ ต่อมาบุตรชายคนโต(ทอเรียะ) ก็ได้รับพระราชทานยศให้เป็นเจ้าพระยามหาโยธาเช่นกัน ท่านได้สร้างวัดนี้ต่อจากบิดา และถึงแก่อสัญกรรมในสมัยรัชกาลที่ ๔ ท่านเป็นต้นสกุล “คชเสนี”
พระอุโบสถวัดเกาะพญาเจ่งเป็นเขตโบราณสถาน กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๑ ภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เรื่องทศชาติชาดก
เป็นอาคารทรงไทยก่ออิฐถือปูน หลังคาลดระดับ ๒ ชั้น
มีขนาดกว้าง ๑๐.๕๐ เมตร ยาว ๒๒ เมตร มีฐานแอ่นโค้งเป็นรูปเรือสำเภา
ซุ้มประตูและหน้าต่างเป็นแบบปูนปั้นลอยตัวลายดอกไม้
องค์พระอุโบสถพร้อมพื้นที่โดยรอบรวม ๑ ไร่ ๔๗ ตารางวา
กรมศิลปากรได้ประกาศเป็นเขตโบราณสถาน ตามราชกิจจานุเบกษาลงวันที่ ๑๓ มกราคม
๒๕๔๑
ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปปางมารวิชัยหล่อด้วยโลหะหุ้ม
ด้วยปูนปั้นปิดทองงดงาม สูงถึงรัศมี ๒.๗๐
เมตรบนฐานชุกชีรูปดอกบัวคว่ำบัวหงายนูนเด่น สูง ๑.๔๐ เมตร
ด้านล่างมีรูปปั้นพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตรอัครสาวกคู่
นั่งประนมมืออยู่ทางซ้ายและขวา บนฐานสูง ๘๐ ซม.
นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปปางห้ามญาติอีก ๓ องค์สูงประมาณ ๒ เมตร
รวมทั้งพระพุทธรูปนอนสมัยรัตนโกสินทร์
แสดงถึงปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้าที่ทรงยื่นพระบาทให้พระมหากัสสปะได้ถวาย
อภิวาทเป็นองค์สุดท้าย ก่อนทำพิธีฌาปนกิจพระสรีระ
และยังมีพระพุทธบาทจำลองหล่อด้วยโลหะขนาดยาวประมาณ ๑.๒๐ เมตรอีกด้วย
ฝาผนังพระอุโบสถทั้งสองด้าน
เป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับทศชาติชาดกหรือพระเจ้าสิบชาติ ภาพเหล่านี้
นัยหนึ่งเพื่อเป็นการอนุรักษ์หลักธรรมคำสอน
และเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาไว้ให้คงอยู่
เสมือนหนึ่งการจดจารึกคำสอนลงในใบลาน เพื่อป้องกันการลบเลือนสูญหาย
และเพื่อเป็นประโยชน์แก่อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้
หรืออีกนัยหนึ่งเพื่อใช้เป็นสื่อในการอบรมสั่งสอนประชาชน
ให้มีความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาสืบไป
ลักษณะของจิตรกรรม
เป็นศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์(พ.ศ. ๒๓๒๕ – ปัจจุบัน) สมัยรัชกาลที่ ๑ – ๓
โดยได้จัดระเบียบเป็นแบบอย่างยึดถือกันเป็นหลัก และเป็นที่นิยมเขียนกันมากที่สุดคือ
ผนังด้านข้างช่วงบนติดฝ้าเพดาน เขียนวิทยาธร* มีสินเทา**คั่น
แล้วมีเทพชุมนุม ๑ – ๕ ชั้น ตามความสูงของฝาผนังช่วงเหนือหน้าต่างขึ้นไป เพดาน
เป็นภาพดอกพุดตานผูกลาย ๗ ห้อง ห้องขื่อสีน้ำเงินลายทอง
ท้ายขื่อเป็นลายกรวยเชิงตลอดกันไปทั้งเพดาน


ด้านหลัง หรือผนังหุ้มกลองด้านหลังพระประธาน เป็นภาพไตรภูมิมีรูปเขาพระสุเมรุที่ประทับของพระอินทร์อยู่ตรงกลาง ด้านล่างเป็นแม่น้ำสีทันดรอันมีปลาใหญ่อาศัยอยู่บนยอดพระสุเมรุ เป็นภาพพระพุทธองค์แสดงธรรมโปรดเหล่าเทวดา
แม้ว่าพระอาทิตย์ จะถูกบดบังด้วย
บันไดไม่สามารถยกออกได้ แต่ก็ยังงามมากมาย
พระจันทร์..งดงามมาก
ด้านหน้า หรือผนังหุ้มกลองด้านหน้า
เป็นภาพขนาดใหญ่เหนือระดับประตูขึ้นไปเกือบถึงเพดาน เป็นภาพพุทธประวัติตอนผจญมาร
กล่าวถึงพญามารได้ใช้ความพยายามครั้งสุดท้ายที่จะขัดขวางไม่ให้พระพุทธองค์
ได้ตรัสรู้ จึงทรงช้างคีรีเมฆขละมาพร้อมบริวารเป็นอันมาก
แต่พระสมณโคดมมิได้ทรงหวั่นไหว พระองค์ทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาแตะลงที่พสุธา
อ้างพระธรณีเป็นพยาน บัดดลนั้นพระธรณีพลันปรากฏกายสยายพระเกศาบิดมวยผม
ทำให้เกิดสายน้ำใหญ่หลั่งไหลท่วมท้นบรรดาไพร่พลแห่งพญามารจนพ่ายแพ้ไป
อันแสดงถึงสัญลักษณ์แห่งทานบารมีของพระพุทธองค์ที่ได้ทรงบำเพ็ญมาในอดีต
เหนือขึ้นไปเป็นภาพเหล่าเทวดาพากันแสดงอาการสาธุการต่อชัยชนะของพระพุทธเจ้า
ภาพชาวต่างชาติที่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณนี้
ประกอบด้วย ชาวตะวันตก มุสลิม จีน และกะเหรี่ยง
ด้านข้าง เหนือภาพทศชาติทั้งสิบ เป็นภาพเทพชุมนุม
พนมมือหันหน้าเข้าหาพระประธานเรียงซ้อนกันสองแถว
เหนือเทพชุมนุมเป็นภาพพระและวิทยาธรตลอดแนวทั้งสองข้าง
พระเวสสันดร บริจาคราชรถ
ทำให้พระองค์และครอบครัวต้องเดินด้วยเท้า เข้าป่า
พระเตมีย์ใบ้
พระมหาชนก ตอนเรือโดนพายุ
นางมณีเมขลาช่วยพระมหาชนก
สุวรรณสาม
พระเนมิราช -ราชรถงามนัก
ทวารบาล หรือผู้เฝ้าประตู
อันหมายถึงภาพที่ประตูหรือหน้าต่าง
ส่วนใหญ่มักจะเป็นภาพเทวดาถืออาวุธโดยมีคติมาจากเมืองจีน ทวารบาลที่วัดเกาะฯ
เป็นรูปผสมทั้งไทย จีนและฝรั่ง
กล่าวคือที่ประตูด้านหน้าและหลังมีทั้งภาพเทวดาและสิงห์(เซี่ยวกาง-เทวดาผู้รักษาประตูของจีน)
และภาพทหารต่างชาติ ส่วนที่หน้าต่างทั้ง ๑๔ บานสองฟากข้างผนังพระอุโบสถ
เป็นภาพเทวดาถือพระขรรค์และดอกบัว
ปิดท้ายอีกครั้งด้วย
ภาพความเสื่อมโทรมด้วยผลจากมหาอุทกภัย ทำให้พระอุโบสถ อันงดงามต้องมีสภาพแบบนี้
หลังจากเพิ่งจะซ่อมแซมเสร็จเมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๕๔ ก็มาเจอน้ำท่วมในเดือนตุลาคม ..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น